การเลือกใช้ ขวดสำหรับบรรจุวิตามิน ควรคำนึงถึงหลายปัจจัยเพื่อ ปกป้องคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และ ตอบโจทย์ด้านการตลาดและการใช้งาน โดยสามารถพิจารณาได้ตามหัวข้อดังนี้:
🧴 1. วัสดุของขวด
✅ ขวดพลาสติก (PET / HDPE)
-
PET (Polyethylene Terephthalate)
-
ใสหรือสีชา น้ำหนักเ
-
บา ต้นทุนต่ำ
-
ป้องกันความชื้นได้ดี แต่กันแสงได้ไม่ดีถ้าเป็นแบบใส
-
นิยมใช้สำหรับวิตามินเม็ด, แคปซูล
-
-
HDPE (High-Density Polyethylene)
-
สีขาวขุ่น ป้องกันแสงได้ดีก
-
ว่า PET
-
เหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่ไวต่อแสง เช่น
-
วิตามิน B, C
-
✅ ขวดแก้ว
-
ป้องกันออกซิเจนและแสงได้ดีเยี่ยม (โดยเฉพาะขวดสีชา)
-
เหมาะกับวิตามินที่ไวต่อแสงหรือเป็นของเหลว เช่น น้ำมันปลา, วิตามินดรอป
-
ภาพลักษณ์ดูหรูหรา แต่หนักและเปราะบางกว่า
🌞 2. การป้องกันแสงและความชื้น
-
เลือกขวด ทึบแสงหรือขวดสีชา (Amber Bottle) สำหรับวิตามินที่ไวต่อแสง เช่น วิตามิน C, D, A, B-complex
-
พิจารณาใช้ ซองกันความชื้น (desiccant) ใส่ในขวด เพื่อช่วยดูดความชื้น โดยเฉพาะถ้าใช้ขวดพลาสติก
🔒 3. ฝาและระบบซีล
-
ฝาเกลียว (Screw Cap): ใช้งานสะดวกทั่วไป
-
ฝานิรภัย (Child-Resistant Cap): สำหรับสินค้าที่อาจอันตรายหากเด็กบริโภค
-
ซีลปากขวด (Induction Seal / Foil Seal): ช่วยป้องกันการปนเปื้อนและเพิ่มความมั่นใจให้ผู้บริโภค
📦 4. ขนาดขวด
-
ขนาดควรเหมาะสมกับปริมาณเม็ด เช่น:
-
30 เม็ด = ขวด 60–100 ml
-
60 เม็ด = ขวด 100–150 ml
-
100 เม็ด = ขวด 150–200 ml
-
-
เว้น “head space” ให้พอเหมาะ ไม่ให้ขวดแน่นหรือหลวมเกินไป (เพื่อป้องกันการกระแทกหรือเสื่อมสภาพ)
🛍️ 5. ภาพลักษณ์แบรนด์ & การตลาด
-
หากต้องการภาพลักษณ์พรีเมียม → แ
-
นะนำขวดแก้ว หรือขวดพลาสติกแบบพิเศษ + สติ๊กเกอร์เคลือบเงา
-
หากต้องการแนว Eco-friendly → พิจารณาขวดพลาสติกรีไซเคิล (rPET) หรือบรรจุภัณฑ์ที่ลดพลาสติก
📋 6. ข้อกำหนดกฎหมาย (อย./FDA)
-
บรรจุภัณฑ์ต้องใช้ วัสดุ Food Grade
-
ต้องสามารถปิดสนิท ป้องกันการปนเปื้อน และไม่ทำปฏิกิริยากับผลิตภัณฑ์
-
ควรมีการแสดง Lot, MFG, EXP และฉลากชัดเจน